มชฺฌิมาปฏิปทา การทำให้เกิดความเป็นกลาง ปฏิปทา การปฏิบัติหรือการกระทำเพื่อให้เกิด มชฺฌิมา ความเป็นกลาง คือให้ทางฝ่ายที่เป็นกามนั้นออกไป ทางฝ่ายพยาบาทออกไป จะเข้ามากี่วิถีจิตก็ตามให้ออกไปหมด ฝ่ายที่เป็นอัตตาคือการเพ่ง เกร็ง บังคับนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอภิชฌาหรือโทมนัสก็ให้ออกไป ด้วยการใช้มรรค ประหาร
ดังนั้นบรรพชิตผู้ต้องการออกจากทุกข์ ด้วยการออกจากกิเลสซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ จึงมีความจำเป็นต้องทำให้มรรคเกิด เพื่อประหารกามและกิเลสอันหนุนเนื่องมาจากกาม พอออกไปหมดแล้ว อโลโภ โหติ โลภะไม่มีแล้ว โลภ ราคะ กามฉันทะทั้งหลายจึงไม่มี อโทโส โหติ โทสะไม่มีแล้ว โกรธ โมโห รำคาญ พยาบาทและถีนมิทธะ จึงไม่มี อโมโห โหติ โมหะไม่มีแล้ว คิด นึก วิพากษ์ วิจารณ์ วิเคราะห์ ลังเล สงสัย เงอะงะ เซ่อซ่า ไม่แน่ใจ สรุปคืออุทธัจจะและวิจิกิจฉาไม่มี
ไม่มีกิเลสอะไร ๆ เห็นเป็นเศษเหลือ จิตสะอาดเป็นกลางอยู่อย่างนี้ มีแต่วิริยะ สติ ในการกำหนด ให้มรรค ๘ เกิด เพื่อป้องกันรักษาและพัฒนาความเป็นกลางให้เจริญมากยิ่งขึ้น จนถึงที่สุด โลกุตตรมรรค เกิด มีปัญญาที่รอบรู้อย่างถี่ถ้วน มีวิชชาความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งทุกขั้นตอนในการทำให้มรรค ๘ เกิด จนถึงโลกุตตรมรรค ๔ เกิด เห็นเป็นอุเบกขา จิตวิมุตติหลุดพ้นสะอาดหมดจดอยู่อย่างนี้ ทั้งส่วนที่เป็นงานของบุพภาคมรรคหรือมรรค ๘ และส่วนที่เป็นงานของโลกุตตรมรรค ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านเรียกว่าเป็น มัชฌิมา
การทำให้เกิดความเป็นกลางอย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคเตน อันตถาคต ทรงเรียกพระองค์เองว่าตถาคต แปลว่าผู้ดำเนินไปอย่างถูกต้องเป็นอย่างไรทรงดำเนินไปอย่างถูกต้องอย่างนั้นแล้ว อภิสมฺพุทฺธา ได้ตรัสรู้เองอย่างยอดเยี่ยมแล้ว จกฺขุกรณี ด้วยการทำตาให้เกิด ตาในที่นี้หมายถึงพุทธิจักขุ (ดวงตาแห่งปัญญา (เพื่อการตรัสรู้) ตาเพื่อการตรัสรู้ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะเห็นส่วนที่สุดทั้งสอง และเมื่อเห็นแล้ว ญาณกรณี ทำความรู้ให้เกิด คือรู้ตามส่วนที่สุดทั้งสองอันใดที่ปรากฏในขณะนั้น และ อุปสมาย สงบระงับมันคือกำหนดให้ดับด้วยมรรค ๘ อภิญฺาย สงบระงับให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปถึงที่สุด สมฺโพธาย การตรัสรู้อย่างถูกต้อง นิพฺพานาย สํวตฺตติ ย่อมเกิดพร้อมกับนิพพาน ได้แก่ส่วนที่สุดทั้งสองดับ กล่าวคือพอส่วนที่เป็นกามดับ ส่วนที่เป็นพยาบาทอันเนื่องด้วยกามดับ ส่วนที่เป็นอัตตาทั้งฝ่ายอภิชฌาและโทมนัสดับ ความเป็นกลางเกิด จะเห็นว่าทันทีที่ “ที่สุดทั้งสองส่วน” นี้ดับ มัชฌิมาเกิดขึ้นมาพร้อมเอง
การดับทั้งสองส่วนนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเป็นกระทู้ว่า อุปสมาย ด้วยทำให้สงบระงับเกิดขึ้น และ อภิญฺายพัฒนาสงบระงับให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป หมายความว่าการสงบระงับตั้งแต่บุพภาคมรรค คือ มรรค ๘ ซึ่งดับกิเลสได้แบบชั่วขณะ ชั่วคราว เป็นอุปปาทนิโรธ (อุปปาทนิโรธ : นิโรธมี ๒ อย่าง คือ อุปปาทนิโรธ ได้แก่ความดับที่ยังมีการเกิดขึ้นได้อีก และอนุปปาทนิโรธ ได้แก่ความดับที่เป็นมัคคนิโรธ เช่น นิโรธของท่านผู้เข้าผลสมาบัติและนิโรธสมาบัติ) ไปจนถึงดับได้อย่างเสถียรถาวร ด้วยโลกุตตรมรรค ๔ เป็นสมุจเฉทนิโรธ
มัชฌิมา ความเป็นกลางทั้งสองส่วนนี้ ต้องทำให้เกิดและพัฒนาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด คือมรรค ๘ ก็ทำหน้าที่รักษาและพัฒนามัชฌิมา ให้มีอุเบกขากว้างขวางแผ่ไพศาลขึ้นโดยลำดับ ตั้งแต่วิปัสสนาญาณชั้นต้น ๆ ของแต่ละระดับปัญญาบุคคล ไปจนถึง วุฏฐานคามินี วิปัสสนาญาณ แก่กล้าสูงสุดเป็น สิกขปัตตัพพ์ คือ การศึกษาที่แก่กล้าควรบรรลุแล้ว ไตรลักษณ์ในจิตเข้มแข็งเพียงพอแล้ว อนุโลมญาณ โคตรภูญาณ หน้าที่ของบุพภาคมรรคก็สิ้นสุดลง โลกุตตรมรรคญาณ ๔ อันมีโสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตต-มรรค อย่างใดอย่างหนึ่งจะเกิดตามลำดับ
พร้อม ๆ กับขณะที่โลกุตตรมรรคเหล่านี้ปรากฏขึ้นจะทำหน้าที่ประหารอนุสัยกิเลส ซึ่งเป็นตัวเหนี่ยวนำจิตให้ติดในรูป-นามสังขารหรือขันธ์ ๕ อันเป็นส่วนกามาวจรกุศลที่จิตได้เคยยึดเกาะอาศัยเป็นแพหรือเรือ เดินทางตามลำดับวิปัสสนาญาณ จนถึงโคตรภูญาณซึ่งเปรียบเหมือนท่าเทียบเรือปรากฏ ผู้โดยสารเรือทั้งหลายที่เดินทางอย่างยากลำบากเหนื่อยหน่าย เบื่อความจำเจซ้ำซากอยู่ในเรือมานานเต็มที อยากจะขึ้นฝั่งอย่างสุดกลั้นแล้ว ก็เคลื่อนตัวเตรียมพร้อมไปยังกาบเรือส่วนที่จะเทียบท่านั้น เมื่อขณะที่เรือเทียบท่านั้นนั่นเอง
ผู้โดยสารทั้งหลายเห็นฝั่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า จิตเหนี่ยวนำที่จะขึ้นฝั่ง ทำให้การเหนี่ยวนำยึดเกาะอาศัยเรือและพายที่มีอยู่เดิมสิ้นสุดลง ปล่อยมือจากพาย ถีบเท้าก้าวพ้นจากเรือขึ้นฝั่งฉันใด เมื่อผู้ปฏิบัติอาศัยรูป-นามสังขารส่วนที่เป็นกามาวจรกุศล ซึ่งเปรียบเหมือนเรือ มีมรรค ๘ ที่เปรียบเหมือนพายสำหรับพายเรือ และใช้เป็นอาวุธในการรักษาเรือ ไม่ให้สัตว์ร้ายคือกิเลสทั้งหลาย ได้โอกาสทำลายเรือให้จม จนกระทั่งพายเรือทวนน้ำอย่างปลอดภัย มาถึงท่าเทียบเรือ คือ โคตรภูญาณ ณ บัดนี้แล้ว เห็นฝั่ง คือ โลกุตตรมรรค หรือพระนิพพานปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ใจเบื่อหน่ายต่อความทุกข์ที่มีอยู่ในรูป-นามสังขารมานมนานเต็มทีแล้ว ยางเหนียวยึดเหนี่ยวให้ติดในรูป-นามสังขารแห่งอนุสัยกิเลสสิ้นสุดลง จิตจึงละความยึดเกาะรูป-นามสังขารที่ปรากฏในอนุโลมญาณ ซึ่งเปรียบเหมือนเรือที่กำลังเทียบท่าคือโคตรภูญาณ และทิ้งมรรค ๘ อัน
เปรียบเหมือนถ่อหรือพาย มุ่งสู่กระแสนิพพานคือโลกุตตร-มรรค ความดับออกจากรูป-นามสังขาร เปรียบเหมือนคนที่พุ่งตนออกจากเรือ แล้วขึ้นฝั่งที่ปลอดภัยทันทีโดยไม่มีลังเล การตรัสรู้อย่างถูกต้องจึงเกิดมาพร้อมกับนิพพานคือการดับสู่มรรคผลนิพพานนั้นนั่นเอง
จากหนังสือ พระธรรมจักรเทศนาฎีกา ชินสภเถระ พธ.บ. ๓๕ หน้า 35-39